ยุคทองของทุน ซี.พี.โดยแท้!
1 min read
พิมพ์ไทยออนไลน์ // มีการตั้งข้อสังเกตว่า ไม่รู้จะถือเป็นการ “ตบหน้ากระบวนการยุติธรรม” ฉาดใหญ่หรือไม่?
กับรายงานข่าวของ “สำนักข่าวอิศรา” ที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ได้
ลงนามในคำสั่งประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่ 1/2562 แต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนา
พิเศษภาคตะวันออก” ที่มี นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ
โดยระบุเพื่อทำหน้าที่รวบรวมและกลั่นกรองข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือหน่วยงานรัฐหรือ
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ โดยคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในโครงการ EEC Project พร้อมให้จัดทำรายงานสรุปความเห็น
พร้อมเหตุผลอ้างอิงได้ตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศและข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายฯ (อ้างอิง https://www.isranews.org/isranews/77551-
news77551.html )
โปรเจคยักษ์แสนล้าน กดปุ่มไฟเขียวผ่านตลอด
จะเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร ได้มีช่องยื่นอุทธรณ์ต่อนายกฯ ได้โดยตรง หลังจากถูกคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน
และบริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกตัดสิทธิ์เข้าร่วมประมูลโครงการยักษ์นี้ด้วยเหตุผลสุดอึ้ง หลังจากส่งเอกสารข้อเสนอเพิ่มเติมล่าช้าไปจากกำหนด
ระยะเวลา 8 นาที และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 62 ยังถูกศาลปกครองกลาง “ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว” ก่อนมีคำพิพากษาด้วยอีก
คำสั่งของนายกฯ ในฐานประธานคณะกรรมการนโยบายฯ ข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษาในท้ายที่สุดออกมารูปใด และไม่ว่าผลการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วม
ลงทุนในโครงการดังกล่าวจะออกมาในรูปใด แต่ก็ยากจะฝ่าปราการเหล็ก 3 ชั้นของอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชุดนี้ไปได้ และผลการพิจารณาคัดเลือกดังกล่าวก็แทบไม่มีความหมายใดๆ
ยิ่งหากได้พิจารณาขอบเขต อำนาจหน้าที่ของคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองฯ ด้วยแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า เป็นการตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก “ชุดใหม่”
ขึ้นมาโดยตรงนั่นแหล่ะ เพราะไม่ว่าผลการพิจารณาคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก อภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาทจะออกมาใน
รูปแบบใด ก็ยากจะฝ่าปราการของอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชุดนี้ไปได้
เชื่อว่าไม่นานหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะได้เห็นกลุ่มกิจการร่วมค้าฯ กลุ่มนี้ประเดิมยื่นอุทธรณ์ จนนำไปสู่การล้มประมูลโครงการฯ หรือเปิดให้มีการทบทวนโครงการใหม่ตามมาอย่างแน่นอน!
เพราะยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่กลุ่มทุนยักษ์รายดังกล่าววางไว้นั้น มีเป้าหมายที่จะผนวกทั้ง 3 โครงการอันประกอบด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3
สนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และการพัฒนาเมืองใหม่ Smart City เข้าด้วยกัน ที่หากขาด “จิ๊กซอว์” โครงการใดไปก็ยากจะประสบผลสำเร็จ!!!
ซุ่มเงียบไฟเขียวสารเคมีอันตราย..เพื่อใคร?
ไม่เพียงแต่กรณีการออกคำสั่ง “คัดง้าง” คำสั่งศาลข้างต้น ในห้วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวที่ทำเอาเกษตรกรในระดับรากหญ้า พากันช็อคทั่วประเทศ เมื่อจู่ๆ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัด
กระทรวงเกษตร ได้ออกมาแถลงข่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศไฟเขียวการใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด อันได้แก่ “พาราควอด, ไกลโฟเซต และคลอร์ไฟริฟอส” สาร
กำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืช ที่เดิม “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” มีมติให้ยุติการนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 และให้ยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายกำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิด ตั้งแต่
วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
ประกาศดังกล่าวนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะมีขึ้น แต่มีการ ”ซุ่มเงียบรื้อมติเดิม” ไปตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2562 แล้ว ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ได้ให้ความเห็นชอบทบทวนมติเดิม
และได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562 แล้วด้วยเช่นกัน
ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า “เกิดอะไรขึ้นกับกระทรวงเกษตรและการแบนสารเคมีอันตรายที่ว่านี้ “..
ทั้งที่แต่เดิมนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ติดเบรกการใช้สารเคมีสุดอันตรายดังกล่าว โดย รมช.เกษตร อย่าง “อาจารย์ยักษ์ – นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร” ถึงกับประกาศหากรัฐบาลยังคง
อนุญาตให้มีการใช้สารเคมีอันตรายที่ว่านั้นจะลาออกประท้วงเป็นคนแรก
เนื่องจาก ”พาราควอตนั้น จัดเป็นยาพิษที่มีความรุนแรงเฉียบพลันแม้ได้รับเพียงเล็กน้อย 1-2 ช้อนชาก็อาจถึงแก่ชีวิตได้”
ส่วน ”คลอร์ไพริฟอสทำให้เกิดความผิดปกติด้านพัฒนาสมอง มีผลกระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อและเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสัน”
ขณะที่ ”ไกลโฟเซต เป็นสารพิษที่ International Agency for Research on cancer ได้จัดเป็นกลุ่มที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง”
จึงทำให้ 53 ประเทศทั่วโลกประกาศยกเลิกใช้สารเคมีอันตรายที่ว่านี้ไปแล้ว!
ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ ได้แต่นำเสนอมาตรการควบคุมและดูแลการใช้สาร ด้วยการที่จะเสนอของบประมาณภาครัฐ 98 ล้านบาท มาจัดอบรมและตีทะเบียนเกษตรกรกว่า 1.5 ล้านครัว
เรือนที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วว่าจำเป็นต้องใช้สารเคมีอันตรายดังกล่าว โดยกรมวิชาการเกษตรจะทำหน้าที่อบรมเจ้าหน้าที่วิทยากรไปอบรมเกษตรกร และเป็นผู้อบรมให้กับผู้รับจ้างพ่น กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน และปลัด อบต. ให้ผู้ที่จะซื้อ และใช้สารจำเป็นต้องผ่านการอบรมการใช้สารเคมีอันตรายที่ว่านี้
ส่วนผู้รับจ้างพ่นสารเคมี หากไม่ผ่านจะพ่นสารไม่ได้ โดยร้านค้าที่จำหน่ายจะต้องให้มีการอบรมวิธีการเก็บสารเคมี และการจำหน่ายให้กับผู้ใช้อย่างถูกต้อง หากกระทำผิดจะมีโทษตาม
กฎหมายทั้งจำและปรับ
ทั้งที่ทุกฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจ การจะกำกับดูแลการ ”ตีทะเบียน” ผู้จะซื้อและฉีดพ่นสารเคมีอันตรายที่ว่านี้ จะทำได้มากน้อยแค่ไหน
มติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่หักดิบกลับมติของตนเอง จนนำไปสู่การเปิดนำเข้าสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อพี่น้องเกษตรกรต่อไปได้อีกนั้น ไม่ว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร และ
ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนยักษ์อย่างกลุ่มซี.พี.หรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มทุนยักษ์ดังกล่าวนั้นคงถูก “เพ่งเล็ง” ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเดินเกมครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และแม้ว่าก่อนหน้านี้ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” จะออกมาสนับสนุนการยกเลิกใช้สารเคมีอันตรายเหล่านี้ รวมทั้งบริษัท เจียไต๋ ยังประกาศยกเลิกการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิดนับแต่ปี
2562 เป็นต้นไป แต่เมื่อกระทรวงเกษตรยังคงไฟเขียวให้มีการนำเข้าสารเคมีสุดอันตรายที่ว่านี้อยู่ต่อไป สังคมคงได้แต่ติดตามว่า กลุ่ม ซี.พี.จะรักษาคำพูดตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้
หรือไม่?
จ่อกินรวบ…ท่อร้อยสารสื่อสารใต้ดิน
ไม่เพียงกรณีการออกคำสั่งประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่ถือเป็นการ “คัดง้าง” หักดิบคำสั่งศาลปกครองและคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้า
ร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ข้างต้น
ล่าสุด “กลุ่มบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด” ในเครือ ซี.พี. ยังเพิ่งคว้าสัมปทานบริหารจัดการท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน 30 ปี มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาทจากกรุงเทพมหานคร ผ่านบริษัท
กรุงเทพธนาคม (KT) มาอีกโครงการอีกด้วย
หลังจากรัฐบาลและนายกฯมีนโยบายที่จะให้มีการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ระโยงรยางค์เป็นที่อุจจาดตาแก่นักท่องเที่ยวและสร้างความหวาดเสียวแก่ประชาชนโดยทั่วไป จนมีสื่อนำไป
ประจานให้ขายขี้หน้าไปทั่วโลก โดยคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มอบหมายให้ กทม. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางนำสายสื่อสารเหล่านี้ลงใต้ดินเพื่อ
ความเป็นระเบียบ
แต่ไม่รู้ กทม. ไปหารือกับหน่วยวายที่เกี่ยวข้องกันอีท่าไหนถึงไปส่งไม้ต่อให้ บริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัด รัฐวิสาหกิจของกทม. ประเคนสัมปทานท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินที่ว่านี้เป็นเวลา 30
ปีให้แก่บริษัทลูกของกลุ่มทรูคอร์ปอเรชั่นไปเสียได้ โดยทั้งสองฝ่าย ได้จัดพิธีเปิดสุดอลังการกันไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเลขาธิการ กสทช. เข้าร่วม พร้อมกับร่วมลงนามใน
MOU โครงการความร่วมมือส่งเสริมการพัฒนาและกำหนดแนวทางการนำสายสื่อสารลงใต้ดินกับ กทม. อีกด้วย
แถมล่าสุดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังออกประกาศกรุงเทพมหานคร ห้ามบุคคลหรือหน่วยงานใดๆ วางและพาดสายสื่อสารบนที่สาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครทั้งหมด บรรดา
สายสื่อสารทั้งที่ไม่ใช่แล้ว หรือที่มีอยู่จะต้องถูกรื้อทิ้งทั้งหมดและให้ไปใช้ท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินที่บริษัทกรุงเทพธนาคม และที่กลุ่มทรูก่อสร้างเตรียมให้บริการแทน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำเอาบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่มีโครงการวางท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในโครงการ “มหานครอาเซียน” รวมทั้งสมาคมโทรคมนาคม ที่มีโครงการร่วมกับทีโอที
และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่จะหาทางจัดระเบียบสายสื่อสารระโยงระยางเหล่านี้ให้เป็นระเบียบ และ กฟน. นั้นมีการนำร่องนำเอาเทคโนโลยีโครงข่าย ”ไมโครดักส์” ที่เป็นท่อร้อย
สายสื่อสารติดตั้งบนเสาไฟฟ้ามาใช้ได้แต่ “อึ้งกิมกี่” เพราะถูก กทม. และกลุ่มทรู ปาดหน้ากินรวบโครงการนี่แต่รายเดียว แถมยังบังคับให้ผู้ให้บริการสายสื่อสารจะต้องไปใช้บริการท่อร้อย
สายของตนแบบมัดมือชกเอาด้วยอีก
ทั้งทีโอทีและสมาคมโทรคมนาคมฯ ที่เตรียมยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อกระทรวงดิจิทัลและนายกฯ เพื่อขอให้ กทม. ชะลอหรือระงับการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วยเหตุผลทั้งข้อกฎหมาย เป็น
การให้สัมปทานที่ขัด พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พ.ร.บ.พีพีพี ปี 2562) และดำเนินการขัดประกาศ กสทช. หรือไม่ เพราะ กทม. ไม่ได้ดำเนินโครงการนี้เอง
แต่มีการเซ็งลี้โครงการ 30 ปีออกไปให้เอกชนดำเนินการแทน แบบเดียวกับที่บริษัท กสท โทรคมนาคม เคยทำสัญญาทางการตลาดสุดพิสดารกับกลุ่มทรูในอดีตมาแล้ว
ไม่ถือเป็น ”ยุคทองของกลุ่ม ซี.พี.” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรอีกแล้ว
Cr. : เนตรทิพย์ออนไลน์
http://www.natethip.com/news.php?id=543