ม.รังสิต จี้รัฐเลิกผูกขาด “กัญชา” หนุนผู้ป่วยปลูกใช้เองภายใต้คำแนะนำ หมอ จ่อวิจัยในมนุษย์

1 min read

 

พิมพ์ไทยออนไลน์ // ม.รังสิต ลุยปลูกพัฒนาสายพันธุ์กัญชา เผยอยู่ระหว่างขออนุญาตวิจัย “สเปรย์พ่นกัญชา” ในมนุษย์ มั่นใจ 6 เดือนรู้ผล ชี้รัฐควรให้ของกลางเมดิคัลเกรดเพื่อวิจัยยาสำหรับคนไทย ดีกว่าไปจ่ายผู้ป่วยที่ไม่พอจนต้องนำเข้า จี้ยอมรับความจริงเรื่องใช้ใต้ดิน เลิกผูกขาดสิ่งที่ทำไม่ได้ แนะให้ผู้ป่วยปลูกอย่างจำกัดและใช้เอง ภายใต้หมอ-หมอแผนไทย ให้ความรู้ รับตรวจมาตรฐานช่วยใช้อย่างปลอดภัย ไม่เกินปริมาณ

 

 

วันนี้ (3 มิ.ย.) นพ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความคืบหน้าการขออนุญาตปลูกและวิจัยกัญชาทางการแพทย์ ว่า เรื่องของ
การปลูกกัญชานั้น ม.รังสิตกำลังเริ่มตามกระบวนการหลังได้รับอนุมัติ เบื้องต้นเป็นการปลูกเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ โดย ม.รังสิตจะปลูกสายพันธุ์ไทยเพื่อให้เกิดการพึ่งพาตัวเอง และพัฒนาสายพันธุ์ต่อเพื่อ
พัฒนาให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเองมีประสิทธิภาพ สำหรับการวิจัยกัญชาทางการแพทย์ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอวิจัยในมนุษย์โดยมีอยู่หลายส่วน หนึ่งในนั้น คือ สเปรย์พ่นกัญชา ซึ่งอยู่ที่ว่าจะได้รับอนุญาตเมื่อไร
แต่ส่วนตัวมองว่าถ้าได้รับอนุญาตก็สามารถวิจัยได้เสร็จภายใน 6 เดือน โดยจะใช้ของกลางที่เป็นเดิคัลเกรด ซึ่งมองว่าเพียงพอจะทำวิจัย

“สิ่งแรกที่ภาครัฐควรดำเนินการ คือ สนับสนุนการวิจัยเพื่อให้คนไทยมีนวัตกรรมพึ่งพาตัวเองได้ อย่างการให้ของกลางระดับเมดิคัลเกรดแก่ ม.รังสิต เพื่อดำเนินการวิจัย เพราะมีผลชัดเจนในระดับสัตว์ทดลองแล้ว
ใช้เวลาไม่นานก็จะได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของคนไทยมาดูแลคนไทยเอง แต่หากนำไปจ่ายคนไข้โดยตรง นอกจากไม่พัฒนาแล้ว ยังนำไปสู่การนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะอย่างไรก็ไม่เพียงพอ แต่ก็ขึ้นกับภาครัฐว่า
ของกลางที่จับได้ในระดับทางการแพทย์จะให้แก่ใคร จะให้สำหรับการวิจัยเพื่อให้คนไทยพึ่งพาตนเองได้ หรือนำไปจ่ายให้คนไข้ รัฐจึงต้องตัดสินใจวัตถุประสงค์เพื่ออะไร” นายปานเทพกล่าว

เมื่อถามว่า มองว่าผู้ป่วยสามารถรอได้ เพื่อให้มีการวิจัยที่เป็นผลิตภัณฑ์ของคนไทยเอง นายปานเทพ กล่าวว่า ผู้ป่วยไม่รอ เพราะมีการแอบใช้ใต้ดินอยู่ เพียงแต่รัฐไม่เปิดโอกาสให้ยอมรับในสภาพความเป็นจริง
ว่า รัฐไม่พร้อมการรับมือด้วยการผูกขาดกับรัฐ ซึ่งอย่างไรก็ไม่พอและไม่มีทางทัน รัฐจึงต้องใจกว้างให้ประชาชนมีโอกาสใช้ สิ่งที่อยู่ใต้ดินต้องยอมรับว่าว่ามีอยู่จริง ถ้าไม่ยอมรับก็จะไม่มีใครไปตรวจสอบ
คุณภาพมาตรฐาน ราคาที่เหมาะสม และประชาชนก็จะถูกเอาเปรียบมีทั้งยาฆ่าแมลง โลหะหนัก สารพิษเกิน แต่ถ้ารัฐห่วงใยมาตรฐานยาฆ่าแมลง วัชพืช สารเคมี ก็ควรจะไปคุมต้นทาง ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช
เช่น ไกลโฟเซต พาราควอต ควรยกเลิก ไม่ใช่ไปโทษกัญชา แต่เกิดจากการไม่ยุตินำเข้าสารพิษจากต่างประเทศ ต้องแก้ให้ตรงจุด ถ้าไม่ตรงจุดก็จะวนเวียนอยู่ตรงนี้

เมื่อถามถึงข้อกังวลหากนำสกัดและนำมาใช้เอง จะไม่รู้สารสำคัญว่ามีเท่าไหร่ และอาจใช้ไม่ถูกโรคและปริมาณที่ไม่เหมาะสม นายปานเทพกล่าวว่า ถ้าชาวบ้านป่วยและปลูกเอง เราสามารถคุมจำนวนสาร
สำคัญด้วยกำหนดจำนวนต้น ทำให้ใช้อย่างไรก็ไม่เกิน สกัดอย่างไรก็ได้อย่างจำกัดเท่าที่จะใช้ เรียกว่าจำกัดที่จำนวนพืชเพื่อมารักษาเฉพาะตัว และให้คำแนะนำถูกต้อง ถ้ารัฐยอมรับความจริงว่าชาวบ้านแอบใช้
กันอยู่ สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ รีบให้ความรู้ประชาชนที่แอบใช้ใต้ดินว่าควรทำอย่างไร ใช้ปริมาณเท่าไหร่ ใช้มากน้อยเพียงใด ผลข้างเคียงคืออะไร สิ่งพึงระวังคืออะไร ไม่ใช่ไปจับกุม ปัญหาใช้ไม่ถูกต้อง คือ ใช้
ปริมาณยาเกินขนาดที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะกัญชา แต่ยาทุกชนิดในโลกถ้าใช้เกินพอดีมีปัญหาทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร หรือน้ำดื่ม ทุกอย่างต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าชาว
บ้านปลูกพืช ทำไมไม่สนใจฟ้าทะลายโจร ก็มีผลเสียถ้าบริโภคเกิน ทำไมปล่อยให้ปลูกได้ ทำไมไม่ห่วงเรื่องเกินปริมาณ เพราะรู้ใช่หรือไม่ว่า ชาวบ้านสกัดได้ไม่เข้มข้นเท่ายาแผนปัจจุบันที่เกิดผลเสีย กัญชาก็
เช่นกัน

เมื่อถามถึงปริมาณที่เหมาะสมในการปลูกเพื่อใช้เอง นายปนเทพกล่าวว่า ตรงนี้อยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์ ต้องมีการให้ความรู้ว่า หนึ่งต้นผลิตน้ำมันเท่าไหร่ สารสำคัญเท่าไรในแบบของไทย ซึ่งภูมิปัญญาก็สอนอยู่
แล้ว ทั้งอาหารหรือการรักษาโรค การพึ่งพาตัวเอง ทำให้ชาวบ้านไม่มีทางใช้ยาฆ่าวัชพืช ยาฆ่าแมลงมาทำร้ายตัวเอง วิธีนี้ปลอดภัยที่สุดและดูแลตัวเองได้ และอยู่ภายใต้การกำกัของหมอ ถ้าไม่มั่นใจก็ให้หมอ
แผนไทย ทำได้อยู่แล้ว ซึ่งมีองค์ความรู้ ว่าควรใช้ปริมาณเท่าไหร่ และควรใช้คู่กับอะไรเพื่อลดผลเสียของกัญชา ถ้าไม่ยอมรับความจริง ถ้ากลัวว่าจะรั่วไหล ปัญหาคือทุกวันนี้รั่วไหลหรือไม่ ไปที่ไหนไม่มีใครไม่มี
กัญชา มีคนละขวดสองขวดแอบอยู่จำนวนมาก ถามว่ารัฐคุมได้อย่างไร รัฐไม่ได้คุมอะไรเลยและไม่มีศักยภาพที่จะคุม เพราะไม่สามารถหาสิ่งทดแทนที่ชาวบ้านทำอยู่ได้ วิธีการคือยอมรับความจริงให้พื้นที่ตรวจ
สารสำคัญว่าเกินพอดีแค่ไหน ไม่ควรเกินเท่าไร มียาฆ่าแมลงหรือไม่ โลหะหนักเกินมาตรฐานหรือไม่ ทำให้ทุกที่เป็นพื้นที่ความรู้ให้ประชาชนที่ใช้อยู่ รัฐต้องเลิกผูกขาดหรือสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้

“การสกัดน้ำมันกัญชา ประชาชนสามารถผลิตเองได้ สกัดพื้นฐานเองได้ ภาครัฐไม่ควรแย่งทำ หรือไม่ควรทำสิ่งเดียวกันกับที่ประชาชนทำได้ แต่ควรส่งเสริมประชาชนให้ดูแลตัวเองได้ ถ้าเป็นผู้ป่วยก็ให้เพาะปลูก
อย่างจำกัด หรือรัฐอนุญาตให้สถานพยาบาลตามกฎหมาย ซึ่งมีหลายประเภท ทั้งโรงพยาบาล คลินิกแพทย์แผนปัจจุบัน คินิกแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ทำการเพาะปลูกในพื้นที่อย่างจำกัด เพื่อ
นำมาใช้ในสถานพยาบาลตัวเอง ซึ่งทำได้เพราะทำในนามแทนรัฐดูแลผู้ป่วย แต่หากทำผิดวัตถุประสงค์ก็ยึดใบอนุญาต อยู่ที่ว่าภาครัฐพร้อมทำหรือไม่” นายปานเทพ กล่าว.

Cr. : ผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/qol/detail/9620000052798

You may have missed