อย่าให้เป็นโฮปเวลล์ 2
พิมพ์ไทยออนไลน์ // เรียบร้อยโรงเรียน ซี.พี. ไปอีกโครงการ กับ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ที่ คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ไฟเขียวผลการประมูล และกรอบสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท ซีพี โฮลดิ้ง และพันธมิตร ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูลไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
และคาดว่าจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติกันในปลายเดือน พฤษภาคม นี้ ก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่ จะเข้ามารับไม้ต่อ เป็นการ “ดั้นเมฆ” ประเคนสัมปทานที่มีมูลค่านับแสนล้านบาทให้แก่เอกชน ทั้งที่รัฐบาลเองก็รู้อยู่เต็มอก สถานะของรัฐบาลในขณะนี้ ไม่ต่างไปจากรัฐบาลรักษาการ ด้วยตัวรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ยังคงเหลืออยู่ ภายหลังจากตบเท้าลาออกไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือ “ส.ว.” ก่อนกว่าค่อนคณะ จนแทบจะเหลือ ครม. อยู่รักษาการกันไม่กี่พระหน่อ
จึงไม่สมควรที่ ครม. จะประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องที่ถือเป็นนโยบายสำคัญที่มีผลผูกพันประเทศไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาพิจารณาจะเหมาะสมกว่า
หากเป็นเมื่อก่อนแล้ว รัฐบาลชุดใดดำเนินการในลักษณะนี้ เป็นต้องถูกองค์กรภาคประชาชน และองค์กรอิสระดาหน้าคัดค้านกันหัวชนฝา หรือคงมีใครต่อใครยื่นเรื่องต่อ ศาลปกครอง ขอให้ระงับยับยั้งเพื่อรอให้มีรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีอำนาจเต็ม เข้ามาพิจารณาเอง ไม่ใช่งุบงิบกันพยักหน้ากันไม่กี่พระหน่อแบบที่รัฐบาลชุดนี้กำลังทำกัน
วันวาน เราจึงได้เห็น “คุณซูม – สมชาย กรุสวนสมบัติ” คอลัมนิสต์สุดเก๋า ของ นสพ.ไทยรัฐ ที่เคยเป็นถึงอดีต รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ออกมาท้วงติง และแสดงความเป็นกังวลต่อการที่รัฐบาล จะพิจารณาอนุมัติสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนี้ ออกไปให้กลุ่ม ซี.พี. และพันธมิตร โดยระบุว่า ไม่สบายใจกับการทิ้งทวนสัมปทานในลักษณะนี้ เพราะโครงการนี้ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาล ลำพังการดึงเม็ดเงินภาษีของรัฐเข้าไปจุนเจือ ร่วมลงทุนกับเอกชนด้วยกว่า 120,000 ล้านบาท ก็น่ากังวลอยู่แล้ว
ตัวโครงการยังมีเนื้อหาที่ต้องเจรจากันเยอะมาก เฉพาะข้อตกลงที่การรถไฟฯ ดำเนินการเจรจากับทางกลุ่มซีพีก็มีมากกว่า 100 ข้อ และแม้คณะกรรมการเจรจาที่มีรักษาการผู้ว่ารถไฟฯ เป็นประธานจะยืนยัน นั่นยันว่า ได้มีการพิจารณาข้อตกลงระหว่างกันอย่างละเอียดรอบคอบ ดูกันทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะเกรงว่าด้วยข้อตกลงที่มีอยู่นับ 100 ข้อดังกล่าวนี้ มันอาจมีที่เล็ดรอดจนกลายมาเป็นค่าโง่เอาในภายหลังแบบค่าโง่โฮปเวลล์เอาได้
ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นคอลัมนิสต์ใหญ่ชายคาหัวเขียวผู้นี้ ออกโรงส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาล และผู้เกี่ยวข้องกันตรงๆ อย่าลืมว่า การรถไฟฯ เอง ก็เพิ่งผ่านบทเรียนค่าโง่ในโครงการทางรถไฟ และถนนยกระดับโฮปเวลล์ ที่ต้องจ่ายค่าโง่ให้แก่ บริษัทเอกชนไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะบากหน้าหาเงินที่ไหนมาจ่าย !
แม้ผู้เกี่ยวข้องทั้ง เลขาธิการ กพอ. หรือ รักษาการผู้ว่าการรถไฟฯ ในฐานะ ประธานคณะทำงานเจรจา หรือ ครม. ก็เถอะ จะยืนยันนั่งยันว่า ได้มีการพิจารณาโครงการนี้กันมาอย่างต่อเนื่องก็เถอะ แต่บทเรียนโครงการรัฐหลายต่อหลายโครงการ ที่ต้องจบลงด้วย “ค่าโง่” ที่กำลังระอุแดดอยู่เวลานี้
ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวและสะเพร่าที่เกิดขึ้นจากการเร่งเจรจาที่มุ่งแต่จะ “ปิดดีล” สร้างผลงานทิ้งทุ่น ทิ้งทวนตามใบสั่งการเมืองทั้งสิ้น
และไม่ใช่แต่ค่าโง่โฮปเวลล์เท่านั้น ยังมีค่าโง่ทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่ล่าสุด เพิ่งจะขยายสัมปทานออกไปให้เอกชนอีกถึง 30 ปี เพื่อยุติคดีฟ้องร้องระหว่างกัน แต่นั่นก็ยังเป็นแค่บางคดีที่ยุติไปแล้ว ยังมีคดีความที่จ่อจะต้องเสียค่าโง่ที่ซุกซ่อนอยู่อีกไม่รู้กี่คดี
เมื่อย้อนกลับมาดูโครงการรถไฟไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน โครงการนี้ ที่การรถไฟฯ และรัฐบาลยืนยันว่า เป็นโครงการสำคัญที่มีส่วนกระตุ้นเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จำเป็นจะต้องเดินหน้าโครงการต่อแม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการก็เถอะ
แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแต่ต้น โครงการนี้มันไม่ได้มีแค่รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินอย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจกัน แต่มันผนวกเอาโครงการพัฒนาที่ดิน สถานีรถไฟมักกะสัน มูลค่านับแสนล้านบาท และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์มูลค่า 3.5หมื่นล้านบาท เข้ามา “มัดตราสัง” รวมเป็นโครงการเดียว ก่อนจะมอบหมายให้คณะทำงานชุดเดียว ดำเนินการพิจารณาชี้ขาด
ทั้งที่จะว่าไป แต่ละโครงการ มีความเป็นเอกเทศ และจำเป็นต้องใช้ คณะทำงาน เจรจาชุดใหญ่ แยกเด็ดขาดจากกัน เพราะแต่ละโครงการต่างมีจุดประสงค์และเป้าหมายแตกต่างกัน อย่างโครงการพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ที่มักกะสัน ทำเลทองผืนสุดท้ายเนื้อที่กว่า 150 ไร่ มูลค่าไม่น้อยกว่า 80,000-100,000 ล้านบาทนั้น
เป้าหมายการพัฒนาโครงการดังกล่าว คงได้ได้แค่เป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ และไฮสปีดเทรนเท่านั้น แต่มันสามารถจะทำโครงการมหึมาทั้งคอนโดฯ สุดหรู โรงแรม คอมเพล็กซ์ยักษ์ และคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดมหึมาใหญ่กว่าโครงการ “เดอะวัน แบงกอก” ที่เจ้าสัวเจริญประมูลได้ที่ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ถนนพระราม 4 เนื้อที่ 109 ไร่ไปเสียอีก
เหตุนี้ เมื่อมันถูกรวบรัดมัดตราสังไว้เป็นโครงการนี้แบบแยกไม่ออก ก่อนจะมุบมิบๆ เร่งรัดเจรจาจัดทำข้อตกลงข้อสัญญากันหามรุ่งหามค่ำ เพื่อปิดดีลโครงการกันให้ได้ก่อนการเมืองจะพลิกผัน หรือส่งไม้ต่อให้รัฐบาลชุดใหม่
โอกาสที่โครงการทันจะลงเอยด้วยค่าโง่ในรุ่นลูกรุ่นหลานอีก 40-50 ปีข้างหน้า มันจึงมีได้ทุกขณะ ถึงเวลานั้น จะมาจุดธูปก่นด่า “บิ๊กตู่” ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จริงไม่จริง !!!
Cr. : เนตรทิพย์ออนไลน์
http://www.natethip.com/news.php?id=351